รีวิว The Dark Tower หอคอยทมิฬ (2017)

 รีวิว The Dark Tower (2017)หอคอยทมิฬ: มือปืนหลงทางในหนังที่รีบจบเกินไป


เรื่องย่อ:

The Dark Tower เล่าเรื่องของ เจค เด็กชายจากนิวยอร์กที่มีพลังจิตแปลกประหลาด เขามักฝันถึงโลกที่แตกต่างออกไป — มีหอคอยขนาดยักษ์, ปีศาจจากเงามืด และมือปืนผู้โดดเดี่ยวที่ต่อสู้กับความชั่วร้าย

เมื่อเจคค้นพบว่าโลกในฝันของเขาเป็นเรื่องจริง เขาถูกพาไปยัง "โลกกลาง" (Mid-World) และได้พบกับ โรแลนด์ เดสเชน — มือปืนคนสุดท้ายที่มีภารกิจสำคัญคือปกป้อง “หอคอยมืด” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งหมด

ภัยคุกคามของพวกเขาคือ วอลเตอร์ โอ’ดิม หรือที่รู้จักกันในนาม “พ่อมดดำ” ผู้ต้องการทำลายหอคอยเพื่อเปิดประตูสู่ความมืดและความตาย โรแลนด์และเจคต้องร่วมมือกันข้ามจักรวาลเพื่อหยุดยั้งแผนการนี้ ก่อนที่ทุกโลกจะล่มสลาย



เมื่อพูดถึงจักรวาลนิยายของ Stephen King ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในชีวิตนักเขียนของเขา หลายคนจะพูดถึง The Shining, It, หรือ Carrie แต่สำหรับ King แล้ว The Dark Tower คือแกนกลางของทุกอย่าง — ทั้งจักรวาล ตัวละคร และแนวคิดเรื่อง “โลกคู่ขนาน” ที่เขาใช้สร้างงานเขียนหลายสิบเรื่อง

ดังนั้นเมื่อมีข่าวว่า The Dark Tower จะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ ทั้งแฟนหนังและแฟนนิยายต่างตั้งความหวังไว้สูง…แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับกลายเป็นหนึ่งในความผิดหวังครั้งใหญ่ของแฟน Stephen King ทั่วโลก



ความรู้สึกในฐานะคนดู: สับสนว่าหนังอยากให้เรารู้สึกอะไร

ในฐานะคนที่ไม่เคยอ่านนิยายชุดนี้ก่อนดูหนัง ฉันคาดหวังว่าจะได้รับการแนะนำเข้าสู่โลกใหม่อย่างช้า ๆ และเต็มไปด้วยบรรยากาศ แต่สิ่งที่ได้คือ หนังที่ดูเหมือนเปิดมาครึ่งเรื่องแล้ว ทุกอย่างเริ่มเร็ว เกิดขึ้นเร็ว และจบเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

เราไม่รู้จะเอาใจช่วยใคร เพราะตัวละครหลัก ๆ อย่างโรแลนด์กับเจค ไม่ได้มีเวลาสร้างความผูกพันกับคนดูเลย หนังใช้เวลาส่วนใหญ่กับฉากวิ่ง ฉากยิง และบทพูดแนว “เปิดเผยเนื้อเรื่องลัด” แบบที่พยายามยัด Lore ทั้งหมดเข้าไปภายในไม่กี่นาที

ถามว่า ดูสนุกไหม? — บางฉากก็ดูน่าตื่นเต้น โดยเฉพาะฉากยิงของโรแลนด์ที่เท่มาก แต่โดยรวมแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนดู “ไฮไลต์” แทนที่จะได้ชมภาพยนตร์เต็ม ๆ ที่มีหัวใจ มีจังหวะ และมีชีวิต



เกร็ดเบื้องหลัง: หนังที่ผ่านการเปลี่ยนมือจนเสียทิศทาง


สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ The Dark Tower ฉบับปี 2017 ไม่ใช่เวอร์ชันแรกที่เคยวางแผนจะสร้าง

J.J. Abrams (Lost, Star Trek) เคยถือสิทธิ์ดัดแปลงไว้ตั้งแต่ปี 2007 แต่เขาถอนตัวเพราะรู้สึกว่างานนี้ “ใหญ่เกินจะจับได้ในรูปแบบหนัง”

ต่อมา Ron Howard เข้ามารับช่วงและวางแผนสร้างเป็น “ไตรภาคหนัง + ซีรีส์ต่อเนื่อง” แต่แนวคิดนี้ก็ไม่รอดเพราะติดปัญหาทุนและความซับซ้อน

ในที่สุด โปรเจกต์ก็ลงเอยที่ Nikolaj Arcel ผู้กำกับชาวเดนมาร์ก ที่เคยกำกับ A Royal Affair แต่ไม่เคยทำหนังไซไฟแอ็กชันระดับฮอลลีวูดมาก่อน


ผลก็คือหนังเต็มไปด้วยการประนีประนอมในทุกทาง ทั้งเนื้อเรื่องที่ถูกย่อจนแทบไม่เหลือร่องรอยของความลึก บทพูดที่พยายาม “อธิบายทุกอย่างเร็ว ๆ” และความยาวหนังที่จำกัดไว้แค่ 95 นาที เพราะ Sony ต้องการให้ฉายรอบได้มากขึ้นต่อวัน

ยิ่งไปกว่านั้น หนังดันไม่ใช่การดัดแปลงจากเล่มใดเล่มหนึ่งโดยตรง แต่เป็น “ภาคต่อเชิงจิตวิญญาณ” ของนิยาย ซึ่งหมายความว่าคนที่ไม่เคยอ่านจะงง ส่วนคนที่อ่านแล้วก็จะงงไม่แพ้กัน



แล้วอะไรที่ “เกือบดี”?

แม้หนังจะมีปัญหา แต่ก็มีจุดที่ “เกือบไปได้”:

Idris Elba ทำให้โรแลนด์ดูแข็งแกร่งและมีอดีตบางอย่างในแววตา เขาคือสิ่งที่ดีที่สุดของหนัง
คอนเซปต์ "หอคอยควบคุมจักรวาล" กับ "เด็กที่มีพลังจิตทะลุมิติได้" มีพลังมากพอจะต่อยอดไปเป็นจักรวาลได้จริง
ฉากยิงสไตล์รีโวลเวอร์-แม่นเป้าของโรแลนด์มีสไตล์เป็นของตัวเอง ดูเท่แบบหนังคาวบอยไซไฟ
แต่ทั้งหมดนี้ถูกใช้ไปแบบสิ้นเปลือง และแทบไม่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับตัวเรื่องเลย



สรุป: Dark Tower ไม่ได้ล้มเพราะไม่มีของดี แต่ล้มเพราะไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง

The Dark Tower คือหนังที่ติดกับระหว่างสองทาง — จะทำเพื่อแฟนเก่าก็ไม่สุด จะปูทางแฟนใหม่ก็ไม่กล้าเสี่ยง สุดท้ายเลยออกมาเป็นหนังกลาง ๆ ที่มีดีแต่เปลือก ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ

ในฐานะคนดู ฉันไม่ได้โกรธหนังเรื่องนี้ แต่รู้สึกเสียดายมากกว่า เพราะรู้สึกว่าเราถูกกันออกจากจักรวาลที่น่าจะยอดเยี่ยมมาก หากได้รับการเล่าด้วยความกล้าและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

คะแนนส่วนตัว: 5/10 — พลาดเป้า แต่ยังมีประกายอยู่ลึก ๆ

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น